หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Venice


เวนิส (อังกฤษVenice) หรือ เวเนเซีย (อิตาลีVenezia) เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี มีประชากร 271,663 คน (ข้อมูลวันที่ 1 มกราคม 2547) เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges), และ เมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light)
เมืองเวนิสถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ มีผู้อยู่อาศัยโดยประมาณ 272,000 คน ซึ่งนับรวมหมดทั้งเวนิส โดยมี 62,000 คนในบริเวณเมืองเก่า 176,000 คนในเทอร์ราเฟอร์มา (Terraferma) และ 31,000 คนในเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ
เมืองเวนิสเดิมเป็นชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณลากูนที่รวมตัวเข้าด้วยกันเพื่อต่อต้านอันตรายจากชนลอมบาร์ด, ชนฮั่น และกลุ่มชนอื่นที่เริ่มเข้ามารุกรานหลังจากอำนาจของจักรวรรดิโรมันตะวันตกเริ่มลดถอยลงในบริเวณทางตอนเหนือของอิตาลี ในช่วงเวลาดังกล่าว อาณาจักรที่เรียกว่าโรมันตะวันตกคือกรุงโรม ส่วนโรมันตะวันออกคือกรุงคอนสแตนติโนเบิล (อิสตันบูล เมืองหลวงของประเทศตุรกีในปัจจุบัน)การเสื่อมอำนาจของจักรวรรดิโรมันที่เคยรุ่งเรืองเป็นผู้นำในทุกๆ ด้านของชาวยุโรป ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายและความขัดแย้งมากมายขึ้นในยุโรป ประชากรพื้นถิ่งเริ่มถูกรุกรานด้วยชนต่างชาติที่เข้ามาทำสงคราม แสวงหาผลประโยชน์จากดินแดนอื่นๆ ในเวลาระหว่างต้นคริสต์ศตวรรษที่ 8 กลุ่มชนกลุ่มหนึ่งได้เดินเรือมาตั้งรกรากในบริเวณ ลากูน หรือ อ่าวเวนิส ปากอ่าวที่ประกอบขึ้นจากเกาะเล็กๆ จำนวนมาก ชนกลุ่มนั้นพยายามเริ่มต้นลงหลักปักฐานบนเกาะแก่งที่กระจัดกระจายอยู่โดยทั่วไป และเมื่อพิจารณาจากภูมิประเทศจะเห็นได้ว่า เมืองเวนิสเป็นอาณาบริเวณที่เหมาะสมสำหรับการเป็นท่าเรือสำคัญในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอย่างยิ่ง ชุมชนในบริเวณลากูนก็เลือกตั้งผู้นำคนแรกออร์โซ อิพาโต (Orso Ipato) ที่ได้รับการอนุมัติจากไบแซนไทน์ และได้รับตำแหน่ง “Hypatos” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใช้ในจักรวรรดิไบแซนไทน์ที่เทียบเท่ากับ “กงสุล” และ “Dux” ที่ต่อมาแผลงมาเป็น “ดยุค” ออร์โซ อิพาโตเป็นบุคคลแรกที่ได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นดยุคแห่งเวนิส (Doge of Venice) คนแรก แต่ในหลักฐานจากคริสต์ศตวรรษที่ 11 กล่าวว่าชาวเวนิสประกาศให้เพาโล ลูชิโอ อนาเฟสโต (Paolo Lucio Anafesto) เป็นดยุคในปี ค.ศ. 697 แต่หลักฐานนี้ก็เป็นเพียงบันทึกของจอห์นผู้เป็นดีคอนของเวนิส การลงหลักปักฐานของชาวเมืองเวนิส เริ่มต้นจากการพยายามปลูกสร้างบ้านเรือนขึ้นบนเกาะน้อยใหญ่ที่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งอ่าว ชาวเมืองส่วนใหญ่ใช้ท่อนซุงขนาดใหญ่ฝั่งลงในพื้นดินที่มีจำนวนไม่มากเพื่อเป็นรากฐานให้กับสิ่งก่อสร้างของพวกเขา ท่อนซุงเหล่านี้สามารถเสริมความแข็งแกร่งและมั่นคงให้กับพื้นดินที่รายล้อมด้วยน้ำทะเล จากนั้นพวกเขาจึงเริ่มต้นก่อสร้างอาคารบ้านเรือนต่างๆ ลงไปบนพื้นที่ว่างเปล่า กลุ่มอาคารในยุคแรกเริ่มของเมืองเวนิสสร้างขึ้นในราวยุคกลางและได้รับอิทธิพลจากกรุงคอนสแตนติโนเบิลและไบแซนติอุมอย่างมาก ดังนั้น รูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่ในเมืองเวนิสจึงมีลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์ (Byzantine) ปรากฏให้เห็นอยู่เป็นจำนวนมาก ภายหลังจากนั้น เมื่อศิลปวิทยาการเคลื่อนผ่านไปตามกาลเวลา รูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบโรมันเนสต์ (Romanesque) กอธิค (Gothic) เรอเนสซองค์ (Renaissance) และบาโรค (Baroque) ก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นขึ้นมาตามลำดับ (ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย )

วันนี้เป็นวันเกิด ตื่นมาด้วยอารมณ์ สดใส ข้างในร้อนรุ่ม ฮ่าๆ แปดโมง โทรสั่ง breakfast จากโรงแรม
โรงแรมเล็กๆ แต่ บริการประทับใจค่ะทั้งสามีและ ภรรยา น่ารักมาก

ห้องน้ำสองโถ สไตส์อิตาลี่ ชอบมากๆ
หน้าต่างห้องนอนติดทางเดินเลยจ้า เสียดายไม่ได้ชั้นสอง หรือติดกับริมน้ำ แต่ก็โอในระดับหนึ่ง
อาหารเช้า ครัวซองค์อร่อยมาก แต่ขนมปังก้อนใหญ่ๆ ธัญวลัยเก็บทุกวัน แต่ไม่เคยได้กินเลย งกแท้ๆ
กินเสร็จ แล้ว ไปเที่ยวกันเลยจ้า วันนี้จะพาเดินแบบงง และ หลงๆ นะจ๊ะ
วันนี้อากาศดีมาก

โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลลา ซาลูท (Santa Maria della Salute) 
โบสถ์แห่งนี้ตั้งโดดเด่นอยู่ที่ปากทางเข้าแกรนด์คาแนล เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่จัดว่าเป็นสัญลักษณ์
ของเวนิส โบสถ์แบบบาโร้กขนาดใหญ่แห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อขอบคุณพระเจ้าในโอกาสที่โรคระบาดได้หายไปจากเวนิสในปี ค.ศ. 1630 จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1687 ห้าปีหลังจากผู้ริเริ่มสร้างโบสถ์ได้เสียชีวิต เปิดให้เข้าชมทุกวัน โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา คือ ตั้งแต่ 9.00 น. ถึงช่วงบ่าย และ 15.00-17.30 น. โดยไม่เสีย
ค่าเข้าชมแต่อย่างใด
 October 1630, the Venetian Senate decreed that if the city was delivered from the currently raging plague that had killed about a third of Venice's population, then a new church would be built and dedicated to the Virgin Mary.
The city was so delivered, and Baldassare Longhena, then only 26 years old, was selected to design the new church. It was consecrated in 1681, the year before Longhena's death, and completed in 1687.



หลังจากออกมาแล้ว เราก็เดินไปรอบๆ จะเป็นทะเล



มองฝั่งตรงข้ามจะเป็นจตุรัสซานมาโค ใกล้กันแค่มือเอื้อมเลยเนอะ ฮิฮิ
อันนี้จะเป็นท่ารอข้ามฝาก ในกรณีที่เราไม่ได้ซื้อตั๋วเรือ เราก็ยืนรอ ตรงนี้เสียค่า 50 เซ็น ก็ราวๆ 21 บาท ได้ แต่ต้องรอจนกว่าจะมีคนเยอะ เขาถึงจะพายมารับค่ะ

ข้ามฝากไปเที่ยวดีกว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น