หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Luang Prabang

ตีตั๋วจากเกสเฮาส์ไปขึ้นรถที่สถานีไปเหนือ ตามปกติสามารถไปที่ขนส่งได้โดยสกายแลป แต่เราแนะนำว่าถ้าเวลาน้อยก็จองจากบริษัททัวร์ หรือที่พักแล้วกัน แพงกว่าราคาปกติ แต่เทียบแล้วก็ไม่ทำให้เสียเวลามาก
แต่ของเราจองจากทัวร์ แต่ทัวร์ลืมมารับ ต้องโทรตาม ฮาค่ะ
รถออกตอน สิบโมงเช้า รูปนี้ถ่ายจากบนรถ ชื่นตาจัง
ถนนหมายเลข 13 จะคดโค้ง เวียนหัวมาก รถจอดให้ทานข้าวระหว่างทาง เราเอาหางตั๋วแลกข้าวได้ค่ะ
สุดท้ายก็มาถึง หลวงพระบางค่ะ เรานั่งสามล้อเข้า ประมาณ 50 บาทต่อคน
ถึงค่ำแล้ว เราเลือกเรือนพักบุปผา ถนน ศรีสว่างวงศ์ ราคา ประมาณ 50000 กลีบ เป็นห้องพัดลม เดินหาอยู่นาน ทั้งที่ความจริงอยู่ในถนนเมนเลยแหละค่ะ ห้องขนาดเล็ก แต่มีที่ตากผ้าข้างนอกให้ เสียอย่างเดียวเสียงจากด้านนอกดังมาก และมีกลิ่นทำกับข้าวลอยมาตลอดเวลาจากบ้านข้างๆ

เราเช่าจักรยานเที่ยวกันค่ะ ราคาก็ประมาณวันละ 100 กว่าบาทค่ะ
ริมโขง
วัดชียงทองถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช หลังจากสร้างวัดนี้ไม่นานพระองค์ก็ทรงย้ายเมืองหลวงยัวัดเชียงทองถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช หลังจากสร้างวัดนี้ไม่นานพระองค์ก็ทรงย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทน์ และวัดนี้ยังได้รับการอุปถัมภ์ดูแลจากเจ้ามหาชีวิตสว่างวงศ์และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนางน

ครเวียงจันทน์ และวัดนี้ยังได้รับการอุปถัมภ์ดูแลจากเจ้ามหาชีวิตสว่างวงศ์และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนาววนน


วัดเยอะมาก ออกจากวัดเชียงทองเราก็ขี่จักรยานเลาะริมโขงไปทางที่ทางรถไฟค่ะ
เป็นทางรถไฟข้ามน้ำโขง

ข้ามสะพานนี้ไป จุดหมายคือยอดเจดีย์ที่เห็นนั่นเลย
ทางขึ้น ร่มเย็นมาก ข้างในเป็นประวัติและรูปเขียนตามฝาผนังในเรื่องของศาสนาพุทธค่ะ เราไม่ได้ถ่ายรูปมา แล้วจะมีแม่ชีคอยดูแลอยู่ เงียบสงบดีเลยค่ะ
ภูสี

ช่วงเย็นขี่รถย้อนกลับมาขึ้นภูสี เพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกดินค่ะ
ทางขึ้นภูสี
มองจากยอดภู เห็นวัดที่เราขี่ไปมาไกลๆ
มุมนี้ใครมา ต้องนั่งขึ้นไปถ่ายรูปกันค่ะ
ดอกไม้ที่ซื้อมาจากด้านล่าง ไว้ไหว้พระ สาธุค่ะ
ตลาดมืดเรี่มแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Vientiane

เราออกเดินทางจากกรุงเทพ โดยรถแอร์อุดร เพื่อที่จะมาลงหนองคาย ออกจากกรุงเทพประมาณ 21 น ราคาตั๋ว ป 1 ประมาณ 700 บาท ถึงหนองคายประมาณ ตีห้า กว่า การจะเดินทางไปลาว มีหลายวิธีมาก จะเลือกที่นั่งสามล้อไปเอง หรือ จะรอ รถที่จะไปเวียงจันทร์เลยก็ได้ ราคา 55 บาท แต่เราไปถึงเช้ามาก ก็เลยนั่งตุ๊กไปเอง ตกคนละ ห้าสิบบาท ด่านเปิด 6 เช้า ไปถึงก็ทำวีซ่าสำหรับคนต่างชาติ แต่คนไทยสามารถแสตมได้เลย แต่มีค่าเหยียบแผ่นดินด้วย และ ก็ต้องเพิ่ม 20 บาท เขาบอกว่า สำหรับเขามาทำโอ งงเนอะทำไมมาเก็บกับนักท่องเที่ยวเพราะวันหนึ่งคนเดินทางเข้าเยอะมาก เงินที่เอาไปก็ไม่มีใบเสร็จ เฮ้อ ข้อควรระวังเจ้าหน้าที่ผู้หญิงสาวหน้าตาดีที่ตรงทำวีซ่า ในนั้นเห็นอยู่ไม่กี่คน ครั้งแรกผู้หญิงมีอายุ บอกเรามาว่าราคา สำหรับต่างชาติ เรายืนยันที่จะจ่ายเป็นดอลล่า เพราะถ้าจ่ายเป็นเงินไทยจะแพงกว่า ช่วงเรารอนานมาก สักพักผู้หญิงคนที่เราว่า ก็จะเก็บค่าวีซ่า แต่ราคาที่เธอบอกมาต่างกัน 200 กว่าบาท เราก้เลยเถียงไปว่า
ราคาที่พี่อีกคนบอกมาถูกกว่านี้ เธอทำหน้าไม่พอใจ และไม่พุดกับเราอีกเลย เสียความรู้สึกไปอย่างมาก เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปเธอมา หลังจากนั้นทำให้เราพลาดรถที่จะเข้าเวียงจันทร์ เราเลยนั่งรถสามล้อเข้าไป 200 บาท ราคาแพงอยุ่เพราะเรารู้มาว่า รถที่นั่งไปหลายๆคนคนละ 20 บาทเอง
 หน้าด่าน


เลยจากด่าน เราก็จ้างรถพี่คนนี้เข้าตัวเมืองค่ะ นั่งนานอยุ่ปกติเราเหมา แต่พี่เขาก็จอดแวะรับคนอื่นด้วยเอาเงินเพิ่มเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย เราอ่ะโกรธ แต่ก็พยายามข่มใจค่ะ หลังจากนั้นเราก็หาที่พักริมโขง แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปที่พักเลย เพราะเหนื่อย ห้องที่เราพักราคาประมาณ 500 กว่าบาท สภาพพอใช้ได้ไม่สะอาดเท่าไหร่ มาเที่ยวกันเลยดีกว่าค่ะ

แม่น้ำโขง

หอพระแก้ว
พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ทรงสถาปนาเวียงจันทน์ขึ้นเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้าง เมื่อ พ.ศ. 2103 ครั้นเมื่อล้านช้างเสื่อมอำนาจลง ในปี พ.ศ. 2250 เวียงจันทน์กลายเป็นอาณาจักรอิสระ เรียกว่า อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2321 เจ้าพระยาจักรีของไทย (ในสมัยกรุงธนบุรี) ยกทัพมาปราบดินแดนลาวทั้งหมด อาณาจักรเวียงจันทน์ตกเป็นประเทศราชของไทยนับตั้งแต่นั้นมา
พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์แห่งเวียงจันทน์องค์สุดท้ายพยายามรวบรวมกำลังเพื่อก่อการกบฏและกู้ชาติจากไทย รัฐบาลไทยจึงส่งกองทัพยกขึ้นมาปราบปรามเมืองเวียงจันทน์ และจับเจ้าอนุวงศ์ไปลงโทษที่กรุงเทพ ส่วนเมืองเวียงจันทน์นั้นถูกทำลายย่อยยับ เหลือรอดเพียงแต่พระอารามสำคัญไม่กี่แห่ง เช่น หอพระแก้ว วัดสีสะเกดเท่านั้น
พ.ศ. 2436 ดินแดนลาวตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส เวียงจันทน์ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์กลางการบริหารการปกครองของลาวในอาณัติของฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2442 ต่อมาเมื่อประเทศลาวประกาศเอกราชจากฝรั่งเศส ก็ได้กำหนดให้กรุงเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงของลาวสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้


ด้านนอก มีพระพุทธรูป อยู่รอบๆ หลังจากกราบพระเสร็จ เราก็เดินข้ามถนน เป็นวัด สีสะเกด
หลังจากออกจากวัด เราเดินย้อนมาทางเดิม แล้วเดินเลี้ยวซ้ายออกทาง แม่น้ำโขงเราจะเจอกับ สวน และมีที่ออกกำลังมากมาย แดดเปรี้ยงแต่ชาวลาวก็ยังมาออกกำลังกายกันเยอะเลยค่ะ
ทางเดินริมน้ำโขง ตอนเย็นน่าจะเดินสบายๆ
ร้อนจัด ขอแวะนวดแปปหนึ่งค่ะ นวดลาว ชั่วโมงละ 200 บาท ร้านนวดมีอยูหลายที่ ที่ริมโขงค่ะ
นวดเสร็จขอดื่มกาแฟสักแก้วที่ร้าน ฝรั่งเศลค่ะ

จากริมโขง เราเหมาสามล้อไปพระธาตุหลวง ราคา ประมาณ 150 บาท พอไปถึงก็เห็นพระธาตุอยุไกล ต้องเดินเข้าไปน่ะค่ะ 
พระธาตุหลวง
พระธาตุหลวง หรือ พระเจดีย์โลกะจุฬามณี นับเป็นปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งแห่งนครหลวงเวียงจันทน์ และเป็นศูนย์รวมใจของประชาชนชาวลาวทั่วประเทศ ตามตำนานกล่าวว่าพระธาตุหลวงมีประวัติการก่อสร้างนับพันปีเช่นเดียวกันพระธาตุพนมในประเทศไทย และปรากฏความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงอย่างแยกไม่ออก สถานที่นี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างของประเทศลาว ดังปรากฏว่าตราแผ่นดินของลาวที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีรูปพระธาตุหลวงเป็นภาพประธานในดวงตรา
วันนี้มาถึงพระธาตุปิดแล้วค่ะเพราะเลย ห้าโมงเย็น แล้วเลยไม่ได้เข้าชมด้านในเลย ขากลับเราเลยเดินกลับไปริมโขงกันค่ะ แต่ว่าไกลม๊ากกก 
ริมโขงยามเย็น
จะเห็นได้ว่า ริมฝั่งโขงกำลังพัฒนา มีก่อสร้างถนนเพิ่มขึ้นเยอะเลย 

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

๊Uthai Thani


โห นี่แสดงว่าน้องตั้งใจจะไปจริงๆนะเนี่ย เพราะจังหวัดอุทัยเป็นเมืองที่คนตั้งใจจะไปเที่ยวจริงๆ เพราะไม่ได้เป็นทางผ่านไปที่อื่นเลย ใช่แล้วค่ะพี่ ตองตั้งใจไปตั้งจริง นี่เป็นบทสนทนาเล็กๆบนรถตู้ของค่ำวันหนึ่ง  ฉันมาขึ้นรถตู้ใต้ทางด่วนอนุสาวรีย์ชัย กรุงเทพ อุทัย ค่ารถ 200 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง พี่พยาบาลคนสวย
บอกว่าช่วงนี้ หน้าฝน อากาศเย็นนะแล้วพี่ก็จัดการให้ยืมเสื้อหนาว กับผ้าพันคอ รู้สึกประทับใจตั้งแต่ไปยังไม่ถึงทีเดียว ไปถึงตัวเมืองอุทัยสี่ทุ่ม รถตู้จอดตรงโรงแรมที่จองไว้พอดี พี่พยาบาลบอกว่าพักกี่วัน แล้วให้เบอร์มือถือ เผื่อเราต้องการความช่วยเหลือ น่ารักอีกแล้ว โรงแรมที่จองเป็นตึกแถวสี่ชั้น ห้องพัดลมราคาอยู่ที่ 250 บาท
ห้องพอใช้ได้ ถ้าไม่คิดมาก
เช้าตื่นแต่เช้า ฝนตกเหมือนเดิม เลยฝ่าฝนไปซื้อเสื้อคลุมกันฝนที่เซเว่น ก่อนจะเดินเท้าขึ้นยอดเขา

เงียบมากๆ ฝนตกพร่ำ ไปลุยเลยค่ะ ลองมองลงมา
ข้างทางริมทางเดิน

วิวเมืองอุทัย จากข้างบนยอดเขาค่ะ

ระฆัง 100 ปี สร้างในรัชสมัย รัชกาลที่ 5
รอยพระพุทธบาทจำลอง
ไหว้พระเสร็จ กลับลงมา ไหว้หลวงพ่อสัมฤทธิ์ผลด้านล่าง เสร็จแล้วกลับโรงแรม เช็คเอาท์ นั่งสามล้อเครื่องไปวัดท่าซุงในราคา 80 บาท ค่ะ




รอบๆวัดท่าซุง ก่อนไปพระหลวงพ่อฤาษีลิงดำค่ะ




ดูกันต่อนะค่ะ ฝนตกไม่ขาดสาย แถมที่นี่หมาวัดเยอะมาก บางตัวก็ดุเสียด้วย เผญิอเราเป็นคนกลัวหมามาก เลยจิตตกไปสักพัก ทำให้เดินไม่ทั่ว แล้วนักท่องเที่ยวก็น้อยจนแทบไม่มีเลยหล่ะค่ะ ข้อคิดดีๆของหลวงพ่อปานค่ะ

วิหารแก้ว
วันที่ไปมีน้องๆไปสอบเยอะมาก มีนั่งสามาธิกันด้วย เห็นแล้วปลื้มใจ ความจริงอยากไปเกาะเทโพมากแต่ฝนตกไม่หยุดเลยต้องเหมาสามล้อกลับเข้าตัวเมือง แล้วนั่งรถกลับกรุงเทพอีกที  แต่วันนี้รู้สึกกลับมาด้วยใจเบิกบานจริงๆค่ะ ทริปหน้าไปไหนดีน้าเรา^-^